ขอต้อนรับสู่ หมู่บ้านเฉลิมพระเกียรติ ชมรมเพาะพันธุ์กล้ายางคุณภาพ ตอนนี้ยาง TP48 พันธุ์มาเลย์ พร้อมออกสู่เกษตรกรแล้ว สายพันธุ์อื่น ๆ ปรับราคาใหม่ ในราคาเกษตรกร และตอนนี้ทางชมรมต้องการตัวแทนตัวหน่ายกล้ายาง สนใจรายละเอียด กรุณาติดต่อโดยตรง

ยางพา (รา) รวย

ยางพา (รา) รวย 
           
           บางครั้งสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นไปได้ก็เป็นไปแล้ว อย่างชาวสวนยางคงไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่า วันดีคืนดีราคายาง (ยางแผ่นดิบชั้น 3) จะพุ่งขึ้นทะลุกว่า 140 บาท/กิโลกรัม ต่างกับในอดีตที่ราคายางตกต่ำมาก

            ผ่านมาไม่นานสถานการณ์ราคายางก็กลายเป็นหนังคนละเรื่องกับเมื่อหลายสิบปีก่อน จากที่เคยเป็นสินค้าเกษตร ส่งออกที่ราคาติดลบ ก็สามารถทำเงินเป็นกอบเป็นกำให้กับ ชาวสวนยาง ในส่วนของภาครัฐก็หันมาให้ความสำคัญมากขึ้นมีการประกาศยุทธศาสตร์พัฒนายางพาราปี 2552-2556 เพื่อสนับสนุนและส่งเสริมการพัฒนาพืชเศรษฐกิจชนิดนี้อย่างเป็นระบบและครบวงจรตั้งแต่การผลิตจนถึงการแปรรูป             ที่เคยเป็นตัวประกอบ วันนี้ยางพาราเลยกลายเป็นตัวเด่น ถูกกล่าวขานถึงทั้งในแวดวงธุรกิจ การเมือง แม้กระทั่งในวงสนทนาของชาวบ้าน มีข่าวคราวทางสื่อให้เห็นไม่เว้นแต่ละวัน ในฐานะพืชเศรษฐกิจดาวรุ่ง

            สิบปีมานี้พื้นที่ปลูกยางเติบโตแบบก้าวกระโดด จากภาคใต้ขยายไปอีสาน เหนือ และภาคกลาง  ข้อมูลสถาบันวิจัยยาง กรมวิชาการเกษตร ระบุว่า เดือนธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา มีพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศ 18.89 ล้านไร่ ใน 64 จังหวัด เพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีพื้นที่ปลูก 14.35 ล้านไร่ ในจำนวนนี้อยู่ในภาคใต้ 11.33 ล้านไร่ ภาคตะวันออกและภาคกลาง 2.10 ล้านไร่ ภาคอีสาน 2.85 ล้านไร่ และ ภาคเหนือ 6.00 แสนไร่

            ทำให้ผลผลิตเพิ่มขึ้นจาก 2.94 ล้านตัน ในปี 2548 เป็น 3.16 ล้านตัน ในปี 2552 ไม่รวมพื้นที่เป้าหมายที่กำลังผลักดันให้เกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนภายใต้โครงการส่งเสริมการปลูกยางในพื้นที่แห่งใหม่ระยะที่ 3 ที่เพิ่งจะเปิดตัวเมืองวันที่ 14 มกราคมที่านมา โดยจะดำเนินการเฉพาะในภาคอีสาน ภาคเหนือ ภาคตะวันออก และภาคกลาง ยกเว้นภาคใต้

            ส่วนปริมาณการใช้ภายในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 3.34 แสนตันในปี 2548 เป็น 3.99 แสนตัน ในปี 2552 ในส่วนของการ ส่งออกช่วง 6 เดือนแรกของปี 2553 ส่งออกได้มูลค่ารวม 3,020,593.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 27.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปี 2552
            อัพเดตราคายางพาราล่าสุดยังอยู่ในช่วงขาขึ้น วันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา ราคาซื้อขายยางแผ่นดิบชั้น 3 ตลาดกลางสงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรี ธรรมราช พุ่งสูงถึง 152.31 บาท/กิโลกรัม
            ถือเป็นการพุ่งสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ นับตั้งแต่พระรัษฎานุประดิษฐมหิศรภักดี หรือคอซิมบี้ ณ ระนอง อดีตเจ้าเมืองตรัง นำเมล็ดพันธุ์ยางจากรัฐเปรัก ประเทศมลายู หรือมาเลเซียในปัจจุบันเข้ามาปลูกใน อ.กันตัง จ.ตรัง เป็น ครั้งแรก ครั้งนั้นชาวบ้านเรียกขานกันภายใต้ชื่อ "ต้นยางเทศา"
            จากนั้นมีการแจกจ่ายเมล็ดพันธุ์ให้ราษฎรปลูกยางทั่ว 14 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่ปี 2442 หรือเมื่อ 112 ปีก่อน แล้วขยายไปภาคตะวันออกโดยเริ่มที่ จ.จันทบุรี (ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง และสถาบันวิจัยยาง)

            พร้อม ๆ กับข่าวดีก็มีข่าวร้ายปรากฏให้เห็นมากขึ้น ทั้งปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าในภาคใต้และภาคเหนือของกลุ่มผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่ ซึ่งมีทั้งนายทุน นักธุรกิจ นักการเมือง ข่าวคราวเกี่ยวกับการใช้จ่ายเงินงบประมาณในการส่งเสริมการปลูกยางพาราที่ส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ ซึ่งน่าหวั่นเกรงว่าอาจจะเกิดปัญหาซ้ำรอยเดิม การฉกฉวยโอกาสหลอกลวงชาวบ้านที่กำลังสร้างฝันเป็นเศรษฐีสวนยางด้วยการโก่งราคากล้าพันธุ์ วัสดุอุปกรณ์สำหรับใช้ในการทำสวนยาง ฯลฯ

            โดยเฉพาะการบุกรุกพื้นที่ป่านั้นน่าห่วงเป็นอย่างยิ่ง เพราะกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมออกมาระบุว่า พื้นที่ป่าในภาคใตกำลังถูกผู้มีอิทธิพลส่งแรงงานต่างด้าว "โรฮิงญา" เข้าไปแผ้วถางและปลูกยางในเวลากลางคืนโดย เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน หากราคายางพุ่งสูงขนาดนี้อีกไม่เกิน 10 ปี ป่าภาคใต้จะกลายเป็นสวนยางทั้งหมด

            เลยหวนนึกถึงยุคที่กุ้งกุลาดำกำลังบูมสุด ๆ เมื่อกว่าสิบปีก่อน ครั้งนั้นมีการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าชายเลนในภาคใต้และภาคตะวันออกกันอย่างไม่บันยะบันยัง และแม้เวลาจะผ่านมานับสิบปีจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่สามารถพลิกพื้นสภาพป่าชายเลน ให้ดีดั่งเดิมได้จึงค่อนข้างน่าห่วงว่าพื้นที่ป่า พื้นที่ต้นน้ำจะย่อยยับไม่แตกต่างไปจากป่าชายเลน หากเป็นอย่างนั้นก็ควรระวังไว้ด้วยว่า นอกจากยางพารา... จะพารวยแล้ว ก็อาจจะพาแล้ง พาล่ม มาให้ด้วย


อ้างอิงข้อมูลจาก  หนังสือพิมพ์ประชาชาติ (วันที่ 17 มกราคม 2554)



คำแนะนำสำหรับผู้ปลุกยางใหม่

ข้อควรคำนึงสำหรับผู้เริ่มปลูกยาง 

1. ควรเตรียมพื้นที่ กำหนดระยะปลูก และเตรียมหลุมปลูกให้เสร็จเรียบร้อยภายในเดือนมีนาคม หรือต้นเดือนเมษายน 
2. ควรปลูกยางตั้งแต่ต้นฤดูฝน สำหรับผู้ที่ใช้ต้อตอตาปลูกควรปลูกให้เสร็จภายในเดือนพฤษภาคม แต่ถ้าใช้ยางชำถุงปลูก อาจยีดเวลาออกไปได้บางเล็กน้อย อย่างไรก็ตามควรปลูกให้เสร็จภายในเดือนมิถุนายน 
3. ในพื้นที่แห้งแล้ง ก่อนเข้าฤดูแล้งขณะที่ดินยังชื้นอยู่ควรใช้วัสดุ เช่น หญ้าแห้ง ฟางข้าว หรือเศษวัชพืชคลุมโคนต้นยางเพื่อรักษาความชื้นของดิน 
4. ควรตัดแต่งกิ่งแขนงข้างเฉพาะในฤดูฝนเท่านั้น ไม่ควรตัดในฤดูแล้ง การตัดแต่งกิ่งอย่าโน้มต้นยางลงมาตัดเพราะจะทำให้ส่วนของลำต้นเสียหาย 
5. เมื่อปลูกพืชแซมครบ 3 ปีแล้วต้องหยุดปลูก และปลูกพืชคลุมแทนทันที 
6. หมั่นดูแลบำรุงรักษาสวนยางตามคำแนะนำอย่างสม่ำเสมอโดยเฉพาะในฤดูแล้งควรกำจัดวัชพืช ในสวนยาง เพื่อป้องกันการเกิดไฟไหม้สวนยาง 
ปฎิทินการปลูกสร้างและดูแลรักษาสวนยางพารา 
 
หากเกษตรกรชาวสวนยาง มีปัญหาในการประกอบอาชีพการทำสวนยาง โปรดสอบถามหรือขอคำปรึกษาแนะนำได้ที่ 
- เกษตรตำบล 
- เกษตรอำเภอ 
- เกษตรจังหวัด 
ที่ประจำปฏิบัติงานอยู่ในพื้นที่ที่สวนยางหรือบ้านเรือนของท่านตั้งอยู่ หรืออาจสอบถามโดยตรงไปที่กลุ่มยางพารา กองส่งเสริมพืชสวนกรมส่งเสริมการเกษตร ถนนพหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 โทรศัพท์ (02) 5793801 


อ้างอิงข้อมูลจาก http://www.doae.go.th/





การสร้างแปลงกิ่งตายาง

 
 
การสร้างแปลงกิ่งตายาง
           กิ่งตายางเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการขยายพันธุ์ยาง.....  ด้วยวิธีการติดตา การปลูกสร้าแปลงกิ่งตายางมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลิตกิ่งตายางพันธุ์ดีที่สมบูรณ์ และถูกต้องตรงตามสายพันธุ์ เพื่อนำมาใช้ในการติดตาต้นกล้ายางให้ได้ตันยางพันธุ์ดีที่มีคุณภาพตามต้องการในการสร้างแปลงกิ่งตายางนั้นมีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ 

           การเลือกพื้นที่ การเลือกพื้นที่สร้างแปลงกิ่งตายาง นับว่ามีความสำคัญมากเพราะเป็นแปลงที่ถาวร เพื่อเก็บเกี่ยว
ผลผลิตกิ่งตายางพันธุ์ดีมาใช้ทุกปี  ควรจะเป็นพื้นที่ราบ น้ำไม่ท่วมขัง อยู่ใกล้แหล่งน้ำ และมีการคมนาคมขนส่งที่สะดวก

          การวางผังแปลงกิ่งตายาง ก่อนอื่นควรกำหนดพันธุ์ยางที่จะปลูกไว้ล่วงหน้าว่ามีพันธุ์อะไรบ้าง และแต่ละพันธุ์

          ระยะปลูก ระยะปลูกที่นิยมปลูกกันมากที่สุดคือ ระยะ 1 x 2 เมตร ได้จำนวน 800 ต้น/ไร่ เพราะจะต้นแม่พันธุ์และได้กิ่งตาที่สมบูรณ์ และสะดวกในการกำจัดวัชพืชและการบำรุงรัษา

          การบำรุงรักษาและการใช้ปุ๋ย สถาบันวิจัยาง(2542) ได้แนะนำปุ๋ยผสมบำรุงแปลงกิ่งตายางมี 2 สูตรคือ 20-8-20  ในเขตปลูกยางเดิม 20 -10-12 ในเขตปลูกยางใหม่ การใส่ปุ๋ยแต่ละสูตรควรใส่ตามอายุของต้นกิ่งตายางในสภาพต่างๆเช่น การ บำรุงรักษาในช่วง 1-2 ปี ก่อนตัดใช้ และ อายุ 2 ปีเมื่อมีการตัดกิ่งตาไปใช้

          การใส่ปุ๋ยในช่วง 1-2 ปี แรก ใส่ตามอายุ ของต้นยาง คือ 2 , 4 และ  6 เดือน ควรใช้ปุ๋ยผสมสุตร 20-8-20 ในแหล่งปลูกยางเดิมสำหรับดินร่วนเหนียวอัตราครั้งละ  40 กิโลกรัมต่อไร่และดินร่วนปนทรายอัตราครั้งละ 60 กิโลกรัมต่อไร่ และสูตร 20-10-12 ในแหล่งปลูกยางใหม่ สำหรับดินทุกชนิด อัตราครั้งละ 30 กิโลกรัมต่อไร่
         

          การใส่ปุ๋ยช่วงอายุ 2 ปี ขึ้นไป ให้ใส่ปุ๋ยทุกครั้งหลังจากตัดกิ่งตาไปใช้ และอีกหนึ่งครั้งหลังจากตัดล้างแปลงเพื่อเลี้ยงกิ่งกระโดงใหม่ โดยใช้ปุ๋ยผสมสูตร 20-8-20 ในแหล่งปลูกยางเดิม สำหรับดินร่วนเหนียวอัตรา ครั้งละ  40 กก./ไร่ และดินร่วนปนทรายอัตราครั้งละ 60 กก./ไร่ และสูตร 20-10-12 ในแหล่งปลูกยางใหม่ สำหรับดินทุกชนิด อัตราครั้งละ 30 กก./ไร่

 วิธีการตัดเลี้ยงกิ่งตายาง 

การตัดเลี้ยงในปีที่แรก
       1. เมื่อต้นยางอายุ  1 ปี หรือลำต้นมีเปลือกเป็นสีน้ำตาลสูงประมาณ 1 เมตร จะตัดกิ่งกระโดงไปใช้ได้เลยก็ได้ โดยตัดต้นที่ระดับความสูง 75 cm. จากพื้นดิน              
       2. ในกรณีที่จะผลิตเป็นกิ่งตาเขียว ให้ตัดยอดของฉัตรที่ 3 หรือ 4 กิ่งตาเขียว ให้ตัดยอดของฉัตรที่ 3 หรือ 4 ของกิ่งกระโดงทิ้ง เพื่อเลี้ยงกิ่งตาเขียวครั้งที่ 1 ปล่อยให้กิ่งแขนงออกมาบริเวณยอดฉัตรที่ยอด ตัดเลี้ยงไว้ 4-5 กิ่ง เมื่อกิ่งตามีใบแก่แล้วก็ตัดไปใช้ได้ พร้อมกันนี้ก็ตัดยอดฉัตรที่ต่ำลงมาทิ้ง เพื่อเลี้ยงกิ่งตาครั้งที่ 2 อีก ในปีหนึ่ง ๆ นั้น สามารถตัดเลี้ยงกิ่งตายางได้  3 ครั้ง เมื่อหมดฤดูกาลติดตาแล้ว ก็ตัดล้างแปลง โดยตัดที่ระดับความสูง 75 ซม. จากพื้นดิน

การตัดเลี้ยงในปีที่ 2
      1. หลังจากการตัดล้างแปลงในปีแรก จะมีกิ่งกระโดงแตกออกมาจากลำต้นหลายกิ่ง ให้เลือกเลี้ยงกิ่งกระโดงที่สมบูรณ์แข็งแรงไว้ 4 กระโดง/ต้น
     2. กิ่งกระโดงเจริญเติบโต 3-4 ฉัตร ให้ตัดยอดของฉัตรบนสุด เพื่อผลิตตาเขียวเหมือนกับปีแรกทุกประการ 
 การตัดเลี้ยงปีต่อๆไป
         เลือกเลี้ยงกิ่งกระโดงที่สมบูรณ์แข็งแรงไว้ 4 กระโดง/ต้น เพื่อผลิตกิ่งตาเขียว
  การตัดกิ่งตาไปใช้
                        1. กิ่งตาเขียวขนาด 1 ฉัตร ที่จะตัดไปใช้ต้องมีอายุการเลี้ยงนานประมาณ 5-8 สัปดาห์ หรือใบฉัตรบนแก่เต็มีที่
                       2. ตัดก้านใบบนกิ่งตาออกให้หมด  โดยพยายามตัดให้เหลือโคนก้านใบน้อยที่สุด
                       3.ปลายกิ่งตาทั้ง 2 ด้าน ควรจ่มด้วยขี้ผึ้ง เพื่อลดการคายน้ำออกจากกิ่งตา
                      4.กิ่งตาที่ตัดไว้แล้ว ควรนำไปใช้ให้เร็วที่สุด แต่ถ้าจำเป็นต้องเก็บกิ่งตายางไว้ข้ามวัน ไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 3 วัน ควรเก็บในที่ร่มและมีความชื้นสูง

การคำนวนปริมาณการผลิตกิ่งตายาง
                   ต้นแม่พันธุ์ 1 ต้น เลี้ยงกิ่งกระโดง 1 กิ่ง และตัดเลี้ยงกิ่งตาเขียวปีละ 3 ครั้ง ๆ ละ 5 กิ่ง จะได้กิ่งตาจำนวน 15 กิ่ง/ต้น/ปี กิ่งตาที่สมบูรณ์ 1 กิ่งจะต้องมีตาสมบูรณ์ที่ใช้ได้ อย่างน้อย 2 ตา
                 ในการปลูกสร้างแปลงกิ่งตายางโดยใช้  ระยะปลูก 1 x 2 เมตร  จะได้จำนวนต้นทั้งหมด   800 ต้น/ไร่ และแต่ละต้นจะให้ผลผลิต ต้นละ 15 กิ่ง/ไร่/ปี เพราะฉะนั้นในพื้นที่ 1 ไร่จะผลิตได้ 12,000 กิ่ง/ไร่/ปี



อ้างอิงข้อมูลจาก  การผลิตและขยายพันธุ์ยาง, ศูนย์วิจัยยางสงขลา, กรมวิชาการเกษตร